มุมสมาชิก

สถานะบัญชี

ข้อเท็จจริง

ผู้อุทธรณ์แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ call center ของสถาบันการเงินแจ้งข้อมูลเลขที่บัญชีสำหรับบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสลับกับบัญชีสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ทำให้ผู้อุทธรณ์ชำระหนี้ผิดบัญชีอันเป็นเหตุให้มีการรายงานยอดหนี้ของผู้อุทธรณ์ไม่ถูกต้อง และเป็นเหตุให้เกิดการค้างชำระและถูกสถาบันการเงินโอนขายหนี้ไปให้บริษัทผู้รับโอนที่ไม่ใช่สมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิต ต่อมาผู้อุทธรณ์ได้มีหนังสือถึงสถาบันการเงินแจ้งขอให้ยกเลิกการโอนขายหนี้เพราะเชื่อว่าเป็นการโอนขายหนี้ที่ไม่สุจริตของเจ้าหน้าที่ โดยผู้อุทธรณ์จะชำระค่างวดที่ค้างชำระแต่ขอให้สถาบันการเงินแก้ไขข้อมูลเครดิตให้เป็นสถานะบัญชี "ปกติ" ระหว่างที่ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ call center และความโปร่งใสในการโอนขายหนี้ของผู้อุทธรณ์

สถาบันการเงินได้แก้ไขรหัสสถานะบัญชีของผู้อุทธรณ์ครั้งแรกเป็น 41 - เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบรายการ สำหรับข้อมูลในเดือนก่อนการโอนขายหนี้ย้อนหลังครอบคลุมถึงช่วงเวลาที่ผู้อุทธรณ์ค้างชำระหนี้จริง และยังไม่เกิดประเด็นโต้แย้งเรื่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ call center ต่อมาเมื่อผู้อุทธรณ์ได้นำเงินมาชำระตามที่ตกลงกับสถาบันการเงินแล้ว สถาบันการเงินได้ทำบันทึกข้อตกลงรับโอนสิทธิเรียกร้องกลับคืนในเดือนเดียวกัน และแก้ไขข้อมูลเครดิตของผู้อุทธรณ์อีกครั้ง โดยแก้ไขรหัสสถานะบัญชีตั้งแต่เดือนที่โอนขายหนี้จนถึงเดือนก่อนที่ผู้อุทธรณ์จะมาชำระหนี้เป็นสถานะบัญชี 41 - เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบรายการ และรายงานสถานะบัญชี 10 - ปกติ ในเดือนที่ผู้อุทธรณ์นำเงินมาชำระหนี้ ตลอดจนรายงานข้อมูลเครดิตของผู้อุทธรณ์ต่อเนื่องบนบัญชีเดิม นอกจากนั้น สถาบันการเงินได้ชี้แจงว่า ไม่พบการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือทุจริตของเจ้าหน้าที่ตามที่ผู้อุทธรณ์กล่าวอ้าง

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

1. การที่สถาบันการเงินแก้ไขสถานะบัญชีเป็น 41 - เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบรายการ เป็นการแก้ไขข้อมูลไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เนื่องจากสถานะบัญชี 41 ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของข้อมูลขอตรวจสอบข้อมูลเนื่องจากทุจริต หรือฉ้อฉล โดยอยู่ระหว่างการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและยังไม่มีข้อยุติ แต่กรณีนี้ ไม่พบว่าสถาบันการเงินมีกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในการโอนขายหนี้ มีเพียงการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นเจ้าหน้าที่ call center แจ้งยอดหนี้สลับเลขที่บัญชีสินเชื่อ ประกอบกับสถาบันการเงินแก้ไขข้อมูลสถานะบัญชีเป็น 41 ย้อนไปถึงเดือนก่อนที่จะเกิดประเด็นข้อพิพาทเรื่อง call center ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้อุทธรณ์ค้างชำระหนี้ จึงเป็นการแก้ไขสถานะบัญชีไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง ถือเป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตามประกาศ กคค. เรื่อง รหัสสถานะบัญชี ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2557 เป็นการปฏิบัติไม่ชอบด้วยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545

2. นิติกรรมการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทผู้รับโอนถือว่าสมบูรณ์แล้ว โดยกรณีของผู้อุทธรณ์ไม่เข้าเงื่อนไขของสัญญาโอนขายสิทธิเรียกร้องที่สถาบันการเงินจะสามารถถอนสิทธิการโอนลูกหนี้ได้ การทำบันทึกข้อตกลงรับโอนสิทธิเรียกร้องกลับคืนจึงเสมือนเป็นการทำนิติกรรมซื้อหนี้ใหม่ ดังนั้น การแก้ไขสถานะบัญชีจาก 42 - โอนหรือขายหนี้ และนำส่งข้อมูลด้วยรหัสสถานะบัญชี 41 ต่อเนื่องบนบัญชีเดิมจึงไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง กคค. จึงมีมติให้สถาบันการเงินแก้ไขและนำส่งข้อมูลเครดิตให้ถูกต้องดังนี้

- งวดที่โอนขายหนี้แก้ไขสถานะบัญชีเป็น 42 - โอนหรือขายหนี้ รายงานยอดหนี้เป็นศูนย์ และหยุดส่งข้อมูล ดังนั้น จึงให้ลบข้อมูลตั้งแต่งวดถัดจากเดือนที่โอนขายหนี้เป็นต้นมาออกจากระบบ

- ให้รายงานข้อมูลเครดิตตั้งแต่เดือนที่รับซื้อหนี้กลับมาจนถึงปัจจุบันบนบัญชีใหม่ สำหรับสถานะบัญชีและข้อมูลอื่น เช่น DPD ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง

ข้อเท็จจริง

ลูกหนี้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับสถาบันการเงิน โดยมีเงื่อนไขให้ชำระค่าเช่าซื้อภายในวันที่ 30 ของเดือน ต่อมาลูกหนี้ผิดนัดชำระค่างวดติดต่อกัน 3 งวด สถาบันการเงินได้มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระค่างวดที่ค้าง สถาบันการเงินจึงยื่นฟ้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน โดยให้ลูกหนี้ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดีแต่หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน รวมทั้งค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ย ต่อมาศาลได้นัดไกล่เกลี่ยลูกหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งลูกหนี้ยินยอมส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืน สถาบันการเงินจึงยอมถอนฟ้องลูกหนี้ ศาลจึงได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความและคดีความได้สิ้นสุดลง ปรากฏว่าภายหลังจากถอนฟ้องแล้ว สถาบันการเงินยังคงนำส่งข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ด้วยรหัสสถานะบัญชี 030 - อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่ได้ฟ้องเป็นคดีใหม่กับลูกหนี้ มีเพียงติดตามทวงถามให้ชำระหนี้เท่านั้น

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

สถาบันการเงินได้ถอนฟ้องลูกหนี้และยังไม่ได้ฟ้องคดีกับลูกหนี้เป็นคดีใหม่ แต่สถาบันการเงินยังคงนำส่งข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ด้วยรหัสสถานะบัญชี 030 - อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย จึงเป็นการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนประกาศ กคค. เรื่อง รหัสสถานะบัญชี ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2557 ที่กำหนดว่า สถาบันการเงินรายงานสถานะบัญชี 030 ต้องเริ่มตั้งแต่การยื่นฟ้อง (ไม่รวมการยื่นหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้) ถือเป็นการปฏิบัติไม่ชอบด้วยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545

ข้อเท็จจริง

ลูกหนี้บัตรเครดิตค้างชำระหนี้เกินกว่า 3 เดือน สถาบันการเงินได้ระงับบัตรเครดิตของลูกหนี้แล้วแต่ยังไม่ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ โดยนำส่งข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ด้วยรหัสสถานะบัญชี 30 - อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าเกิดจากการกำหนดค่าพารามิเตอร์ในระบบงานผิดพลาด

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

สถาบันการเงินยังไม่ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ แต่นำส่งข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ด้วยรหัสสถานะบัญชี 30 จึงเป็นการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนประกาศ กคค. เรื่อง รหัสสถานะบัญชี ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2557 ที่กำหนดว่า สถาบันการเงินนำส่งข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ด้วยรหัสสถานะบัญชี 030 ต้องเริ่มตั้งแต่การยื่นฟ้อง (ไม่รวมการยื่นหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้) ถือเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545

ข้อเท็จจริง

ด้วยมีข้อหารือกรณีสถาบันการเงินได้รายงานข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ก่อนที่จะหยุดส่งข้อมูลด้วยรหัสสถานะบัญชี 33 - ปิดบัญชีเนื่องจากตัดหนี้สูญ เนื่องจากลูกหนี้ค้างชำระ แต่ในเวลาต่อมาสถาบันการเงินได้โอนขายหนี้ของลูกหนี้ไปให้กับบริษัทผู้รับโอนที่ไม่ใช่สมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิต โดยลูกค้าได้ไปชำระหนี้กับบริษัทผู้รับโอนจนเสร็จสิ้น จึงติดต่อขอให้บริษัทข้อมูลเครดิตแก้ไขรหัสสถานะบัญชีจาก 33 - ปิดบัญชีเนื่องจากตัดหนี้สูญ เป็น 43 - โอนหรือขายหนี้และชำระหนี้เสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรหัสสถานะบัญชีก่อนหยุดส่งข้อมูลไม่ใช่รหัสสถานะบัญชี 42 - โอนหรือขายหนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตจะแก้ไขรหัสสถานะบัญชีเป็น 43 - โอนหรือขายหนี้และชำระหนี้เสร็จสิ้น ตามข้อ 7/1 ของประกาศ กคค. เรื่อง อายุข้อมูลในการประมวลผลข้อมูล การประมวลผลข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิต และการส่งข้อมูลของสมาชิก ลงวันที่ 5 กันยายน 2557 ได้หรือไม่ อย่างไร

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

กคค. เห็นว่า บริษัทข้อมูลเครดิตไม่สามารถแก้ไขรหัสสถานะบัญชีจาก 33 เป็น 43 โดยตรงได้ แต่ต้องให้สถาบันการเงินแก้ไขรหัสสถานะบัญชีของลูกค้าให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงในแต่ละช่วงเวลา เช่น ก่อนโอนขายหนี้ หากสถาบันการเงินยังประสงค์จะติดตามทวงถามหนี้ ควรรายงานสถานะบัญชีด้วย 10 หากลูกค้ายังมีหนี้ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน หรือรายงานด้วยรหัสสถานะบัญชี 20 หากลูกค้ามีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน และเมื่อโอนขายหนี้แล้วต้องนำส่งข้อมูลเครดิตด้วยรหัสสถานะบัญชี 42 - โอนหรือขายหนี้ ก่อนหยุดส่งข้อมูลเครดิต

นอกจากนั้น กคค. เห็นว่า คำอธิบายรหัสสถานะบัญชี 33 - ปิดบัญชีเนื่องจากตัดหนี้สูญ ที่ระบุว่า “เป็นการปิดบัญชีเนื่องจากลูกค้าไม่นำเงินมาชำระและสมาชิกตัดหนี้สูญทั้งหมด โดยไม่ติดใจทวงถามหนี้ต่อไป” มีความชัดเจนแล้ว สถาบันการเงินไม่ควรดำเนินการใด ๆ ซึ่งรวมถึงการโอนขายหนี้ เพื่อจะให้ได้รับค่าตอบแทนจากหนี้นั้น ๆ อีก

ข้อเท็จจริง

ลูกค้าได้ชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินเสร็จสิ้นตามเงื่อนไขในสัญญาแล้ว แต่สถาบันการเงินยังคงนำส่งข้อมูลของลูกค้าให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิตเป็นหนี้ค้างชำระ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินไม่ได้ปรับปรุงข้อมูลภาระหนี้ให้มีสถานะเป็นปิดบัญชี ยอดหนี้คงเหลือเป็นศูนย์บาท และหยุดนำส่งข้อมูลงวดถัดไป

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

การที่สถาบันการเงินยังคงนำส่งข้อมูลของลูกค้าเป็นหนี้ค้างชำระ ทั้งที่ลูกค้าได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นตามเงื่อนไขในสัญญาแล้ว เป็นการนำส่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่บริษัทข้อมูลเครดิต จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545

ข้อเท็จจริง

ลูกหนี้เริ่มค้างชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2550 แต่ต่อมาได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินในเดือนพฤศจิกายน 2556 โดยมีเงื่อนไขต้องชำระหนี้ตามจำนวนที่กำหนดภายในเดือนธันวาคม 2556 หากปฏิบัติได้สถาบันการเงินจะยกหนี้ส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด แต่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ และขอให้สถาบันการเงินขยายเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก 5 ครั้ง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงินทุกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายขยายเวลาให้ถึงสิ้นปี 2558 ทั้งนี้ สถาบันการเงินรายงานสถานะบัญชีเป็นหนี้ค้างชำระมาโดยตลอด ซึ่งมีผลให้ลูกหนี้ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งอื่น ลูกหนี้จึงโต้แย้งว่าสถาบันการเงินรายงานสถานะบัญชีและจำนวนวันค้างชำระไม่ถูกต้องตั้งแต่งวดเดือนมกราคม 2556 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2558 เพราะไม่เคยผิดนัดหรือผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2558 สถาบันการเงินจึงได้แจ้งให้ NCB แก้ไขข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ตั้งแต่งวดเดือนมกราคม 2556 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2558 ว่าสถานะบัญชีเป็น "ปกติ" จำนวนวันค้างชำระหนี้เป็น "ไม่ค้างชำระ" วันที่ผิดนัดชำระหนี้ "ไม่มีข้อมูล" ซึ่งสถาบันการเงินได้ชี้แจงว่า เนื่องจากลูกหนี้ได้รับอนุมัติให้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และขยายระยะเวลาการชำระหนี้มาโดยตลอด ปัจจุบันอยู่ระหว่างติดตามการชำระหนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไข ซึ่งยังไม่ครบกำหนดชำระและยังไม่ผิดนัดสัญญา

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต

สถาบันการเงินแก้ไขข้อมูลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากมีประกาศ กคค. เรื่อง อายุข้อมูลในการประมวลผลข้อมูลฯ ลงวันที่ 5 กันยายน 2557 แล้ว โดยข้อ 13 กำหนดให้สมาชิกที่เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หากมีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถานะของหนี้จะกลับมาเป็นหนี้ปกติต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีการขอขยายระยะเวลามาโดยตลอด การทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้จึงเป็นการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปเท่านั้น ประกอบกับสถาบันการเงินได้รายงานต่อ ธปท. ว่าเป็นหนี้จัดชั้นสงสัยและสงสัยจะสูญมาตลอด ดังนั้น การที่สถาบันการเงินแจ้งให้ NCB แก้ไขข้อมูลย้อนหลังในงวดเดือนมกราคม 2556 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2558 ว่าสถานะบัญชีเป็น “ปกติ” จำนวนวันค้างชำระหนี้เป็น “ไม่ค้างชำระ” วันที่ผิดนัดชำระหนี้เป็น “ไม่มีข้อมูล” จึงเป็นการปฏิบัติไม่ชอบด้วยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545

หมายเหตุ ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป คำนิยามของ "สมาชิก" ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นอกจากประกอบด้วยสถาบันการเงิน แล้วจะครอบคลุม ถึงผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินเชื่อที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่กำกับดูแลด้วย โดยสมาชิกประเภทผู้ประกอบธุรกิจเป็นตัวกลางฯ จะมีหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ แตกต่างจากสมาชิกประเภทสถาบันการเงินบางประการด้วย